วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552

ฟุตซอล







ฟุตซอล






กีฬาฟุตซอลมีต้นกำเนิดมาจากประเทศแคนาดา ใมปี พ.ศ. 1854 เนื่องจากสภาพอากาศในช่วงถดูหนาวนั้นหิมะปกคลุมทั่วบริเวณ ยากแก่การเล่นฟุตบอลในสนามกลางแจ้ง จึงจัดให้มีการเล่นฟุตบอลในร่มขึ้น โดยใช้สนามแข่งขันกีฬาบาสเกตบอลภายในโรงยิม ซึ่งในช่วงเวลานั้นเรียกการเล่นฟุตบอลประเภทนี้ว่า " indoor soccer" หรือ " five a side soccer " ต่อมาในปี ค.ศ. 1930 ณ กรุงมอนเตวิเดโอ ประเทศอุรุกวัย ฮวน คาร์ลอส เซอเรียนี ได้นำอินดอร์ซอคเกอร์นี้ไปใช้ใน สมาคม YMCA (Young Man's Christuan Association) ได้เล่นโดยใช้สนาม บาสเกตบอลในการเล่น แต่มีการเล่นทั้งภายในและ ภายนอกโรงยิม เพราะที่นั่นไม่ได้มีปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ อินดอร์ซอคเกอร์ ได้รับความนิยมและมีคนให้ความสนใจเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ กระทั่งปี 1932 โรเจอร์ เกรน ได้บัญญัติกฏที่เป็นมาตราฐานในการควบคุมการแข่งขันขึ้นและได้ใช้กฏและได้ใช้กฏและข้อบังคับ นี้ใช้จนมาถึงปัจจุบันนี้ กีฬาอินดอร์ซอคเกอร์จากประเทศแคนาดา ได้รับความนิยมแพราหลายลงมาสู่ปร ะเทศอุรุกวัย ไม่นานก็แพร่หลายและเป็นที่นิยมทั่วทั้งทวีปอเมริกาไต้ก่อนที่จะข้ามฝั่งไปสู่ประเทศในทวีปยุโรป และทั่วโลกในที่สุด ฟุตซอล (Futsal) คือคำที่นานาประเทศใช้เรียกกีฬาประเภทนี้โดยมีรากศัพท์มาจากประเทศสเปนหรือโปตุเกส ที่เรียก soccer ว่า "FUTbol" หรือ "FUTebol" และที่ภาษาฝรั่งเศสหรือสเปนเรียก Indoor ว่า " SALa" หรือเมื่อนำมารวมกันเกิดเป็นคำว่า FUTSAL การแข่งขันฟุตซอลระดับนานาชาติจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1965 ที่อเมริกาใต้และประเทศปารากวัยเป็นทีมที่ชนะเลิศในครั้งนั้น ต่อมาก็มีการจัดการแข่งขันอยู่เป็นประจำ แต่ส่วนมากจะเป็นการจัดขึ้นในประเทศแถบอเมริกาใต้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1982 ได้มีการจัดการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลกขึ้นเป็นครั้งแรกที่ เซาเปาโล ประเทศบราซิล ทีมที่ชนะได้แก่ทีม บราซิล และได้จัดการแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการอีก 2 ครั้ง คือใน ค.ศ. 1958 และ 1988 โดยมีประเทศสเปนและออสเตรเลียเป็นเจ้าภาพ การแข่งขันตามลำดับ ในปี ค.ศ. 1989 สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติได้เข้ามาดูแลและจัดการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลกอย่างเป็นทางการขึ้นเป็นครั้งแรก

ประวัติรักบี้ฟุตบอล




ประวัติรักบี้ฟุตบอล
รักบี้ฟุตบอลเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2366 ที่ประเทศอังกฤษ โดยนายวิลเลี่ยม เอบบ์ เอลลิสเป็นคนแรกที่เริ่มต้นขึ้นในขณะกำลังเล่นฟุตบอลที่โรงเรียนรักบี้ (Rugby School) เขาก้มลงหยิบลูกฟุตบอลและพาวิ่งไป อันเป็นทักษะเบื้องต้นที่ต่อมาได้นำไปปรับปรุงจนเป็นกีฬารักบี้ฟุตบอลในที่สุด

ประวัติรักบี้ฟุตบอลในประเทศไทย
- พ.ศ. 2478 มีทีมรักบี้ที่เป็นทางการคือทีม England, Scotland และ The Rest ซึ่งเป็นทีมของคนไทย
- พ.ศ. 2481 กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) และเอกอัคราชทูตอังกฤษ ก่อตั้งสมาคมรักบี้ฟุตบอลที่ราชกรีฑาสโมสร
- พ.ศ. 2493 ได้รับให้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์

รักบี้ฟุตบอล เป็นกีฬาที่ทรงคุณค่า สร้างการทำงานเป็นทีมความเข้าใจซึ่งกันและกัน ความร่วมมือช่วยเหลือกัน ปลูกฝังความทรหดอดทน และสร้างจิตวิญญาณวิญญาณของความเป็นนักกีฬาโดยสมบูรณ์หนึ่งทีมประกอบด้วยผู้เล่น 15 คน หรือ 7 คน เล่นกันอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมภายใต้กติกาที่กำหนดและมีน้ำใจเป็นนักกีฬา โดยมีผู้เล่นที่อยู่ในสนามจะต้องไม่ล้ำหน้า และสามารถเล่นได้โดยการถือลูกวิ่ง ส่งลูกไปข้างหลังเตะลุก จับคู่ต่อสู้ แย่งลูก เก็บลูก ทำสกรัม รักมอล แถวทุ่ม และนำลูกไปวางหรือกดในเขตประตูฝ่ายตรงข้าม เพื่อทำคะแนนให้ได้มากที่สุด ทีมที่ทำคะแนนได้มากกว่าจะเป็นทีมชนะการแข่งขันแบ่งเป็น 2 ครึ่ง แต่ละครึ่งไม่เกิน 40 นาที

กติกาการเล่นรักบี้

สนาม ( The Ground )
ขนาดสนาม
ก. สนามการเล่นไม่เกิน 100 เมตร กว้างไม่เกิน 70 เมตร ในเขตประตูยาวไม่เกิน 22 เมตร
ข. ความยาวและความกว้างของพื้นที่การเล่นดูได้จากแผนภูมิและต้องเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
ค. พื้นที่ระหว่างเส้นประตูกับเส้นลูกตายต้องไม่น้อยกว่า 10 เมตร
เส้นสนาม
ก. เส้นทึบ ประกอบด้วย เส้นประตู เส้น 22 เมตร เส้นกึ่งกลางสนาม เส้นข้างสนาม
ข. เส้นประ ประกอบด้วย เส้น 10 เมตร เส้น 5 เมตร
รูปแบบของเสาและประตูและคาน
ก. เสาประตู กว้าง 5.6 เมตร
ข. คานถูกวางไว้ระหว่างเสาทั้งสองอยู่เหนือพื้น 3 เมตร
ค. ความสูงของเสาอย่างน้อย 3.4 เมตร จากคานขึ้นไป
ง. เบาะหุ้มเสาเมื่อติดกับเสาประตูแล้วต้องมีความหนาไม่เกิน 300 มิลลิเมตร

บอล ( The Ball )
รูปร่าง ของลูกบอลต้องเป็นรูปไข่ และทำดัวยวัตถุ 4 ชิ้นประกอบกัน
ขนาด ความยาว 280-300 มม. เส้นรอบวง (ด้านยาว) 760-790 มม. เส้นรอบวง (ด้านกว้าง) 580-620 มม.
วัสดุ เป็นหนังหรือวัสดุสังเคราะห์ที่มีลักษณะที่คล้ายหนังไม่ติดโคลนและง่ายต่อการจับ
น้ำหนัก 400-440 กรัม
วามดันลม 0.67-070 กก.ต่อ ลบ.ซม. หรือ 9 1/2 - 10 ปอนด์ต่อ ลบ.นิ้ว

จำนวนผู้เล่น ( Number Of Player - The Team )
ทีม ( team ) ทีมหนึ่งจะมีผู้เล่น 15 คน ซึ่งลงเล่นในสนามรวมทั้งผู้เล่นสำรองเพื่อเปลี่ยนตัว
การเปลี่ยนตัว เมื่อผู้เล่นเกิดบาดเจ็บจะถูกเปลี่ยนตัวโดยผู้เล่นฝ่ายเดียวกัน
ผู้เล่นสำรอง คือผู้เล่นี่เปลี่ยนลงไปแทนผู้เล่นในสนามตามกติกา
จำนวนผู้เล่นในสนามมากที่สุด : ไม่เกิน 15 คน
เมื่อมีผู้เล่นน้อยกว่า 15 คน อนุญาติให้มีผู้เล่นน้อยกว่า 15 คนได้แต่จะต้องมีผู้เล่นในสกรัมไม่น้อยกว่า 5 คนตลอดเกม
การเปลี่ยนตัวถาวร ผู้เล่นที่บาดเจ็บสามารถเปลี่ยนผู้เล่นสำรองลงไปเล่นชั่วคราวได้แต่ถ้าเปลี่ยนตัวถาวรแล้วจะกลับลงไปเล่นอีกไม่ได้ การเปลี่ยนตัวชั่วคราวในกรณีผู้เล่นบาดเจ็บจะเปลี่ยนลงไปได้เมื่อเกิดลูกตาย และผู้ตัดสินอนุญาติ
การเปลี่ยนตัวชั่วคราว
ก. เมื่อผู้เล่นบาดเจ็บมีเลือดออก หรือมีแผลเป็นต้องออกมาปฐมพยาบาลกรณีนี้สามารถเปลี่ยนตัวผู้เล่นลงไปเล่นชั่วคราวได้โดยไม่นับจำนวนครั้ง หรือผู้เล่นที่เปลี่ยนตัว
ข. ถ้าผู้เล่นที่เปลี่ยนลงไปชั่วคราวบาดเจ็บ ก็สามารถเปลี่ยนผู้เล่นได้อีก
ค. ถ้าผู้เล่นที่เปลี่ยนลงไปชั่วคราวทำผิดกติกาจนถูกให้ออกจากสนามผู้เล่นที่ถูกเปลี่ยนไม่สามารถกลับลงมาเล่นได้

เครื่องแต่งกาย ( Player''s Clothing )
เครื่องแต่งกายของผู้เล่น คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้เล่นสวมใส่ เสื้อ กางเกงขาสั้นและกางเกงชั้นในและถุงเท้า เครื่องแต่งกายเพิ่มเติมของผู้เล่น
ก.ผู้เล่นอาจจะสวมวัสดุที่ยิดหยุ่นและสามารถทำความสะอาดได้
ข.ผู้เล่นอาจจะสวมใส่เครื่องป้องกันหน้าแข้ง ภายในถุงเท้า
ค.ผู้เล่นอาจจะใส่สนับข้อเท้าภายในถุงเท้า ซึ่งไม่ยาวเกิน 1 ส่วน 3 ของความยาวของหน้าแข้ง
ง.ผู้เล่นอาจจะสวมถุงมือ ชนิดไม่มีนิ้ว
จ.ผู้เล่นอาจจะสวมที่รองไหล่ที่ทำด้วยวัสดุที่นุ่มและบาง ซึ่งอาจจะเน้นติดกับเสื้อ ซึ่งไม่หนาเกิน 1 ซม.
ฉ.ผู้เล่นอาจจะใส่ฟันยาง
ช.ผู้เล่นอาจจะสวมเครื่องป้องกันศรีษะ ที่ทำจากวัสดุนุ่มและบาง
ซ.ผู้เล่นอาจจะใช้ผ้าพันแผลเพื่อปิดแผลได้
ฌ.ผู้เล่นอาจจะพันผ้าเทปหรือวัสดุอื่น เพื่อป้องกันการบาดเจ็บได้
ปุ่มรองเท้า
ก.ปุ่มรองเท้าต้องเป็นไปตามมาตรฐาน British Standard BS6366 1983 หรือมาตรฐานเทียบเท่า
ข.ปุ่มรองเท้าต้องเป็นรูปทรงกลม และติดแน่นที่พื้นรองเท้า
ค.ปุ่มของรองเท้าต้องมีขนาดดังนี้ ไม่ยาวเกิน 18 มม. วัดจากพื้น เส้นผ่าศูนย์กลางปลายปุ่มอย่างน้อย 10 มม.เส้นผ่าศูนย์กลางของฐานปุ่มอย่างน้อย 13 มม. เส้นผ่าศูนย์กลางของวงแหวนสวมเกลียวของปุ่มอย่างน้อย 20 มม
ง.พื้นรองเท้าที่มีหลายปุ่มใช้ได้ แต่ต้องไม่แหลม

เวลา ( Time )
เวลาของการแข่งขัน ( Duration of a Math )
ในการแข่งขันแต่ละแมทช์ จะต้องไม่เกิน 80 นาที บวกกับเวลาที่เสียไป เวลาพิเศษ และสถานการณ์พิเศษแต่ละแมทช์ จะแข่งเป็น 2 ครึ่ง แต่ละครึ่งไม่เกิน 40 นาที ในเวลาของการเล่น
ครึ่งเวลา ( Half Time )
หลังจากหมดครึ่งแรกแล้วจะเปลี่ยนข้าง มีเวลาพักไม่เกิน 10 นาที
เวลาพิเศษของการเล่น ( Playing extra Time )
ในการแข่งขันอาจจะใช้เวลามากกว่า 80 นาที ถ้าสมาคมได้กำหนดไว้ว่าเป็นเวลาพิเศษ ในการเล่นเสมอกัน ในการแข่งขันแบบแพ้คัดออก

รูปแบบการเล่น ( Mode Of Play )
โดยการเตะลูกที่วางบนพื้นสนามที่กึ่งกลางสนามไปให้ถึงเส้น 10 เมตรของฝ่ายตรงข้าม เมื่อเริ่มเล่นครึ่งเวลาแรก และครึ่งเวลาหลังเท่านั้นหลังจากเตะเริ่มเล่น ผู้เล่นที่อยู่ในสนามสามารถเล่นได้โดยการจับลูก วิ่งพร้อมลูก ส่งลูกเตะลูก ส่งลูกให้ผู้เล่นคนอื่น จับคู่ต่อสู้ แย่งลูก เก็บลูก ทำสกรัม รัค มอล แถวทุ่ม นำลูกไว้วางในเขตประตูฝ่ายตรงข้าม ซึ่งการเล่นจะต้องเป็นไปตามกติกาการแข่งขัน
เมื่อฝ่ายหนึ่งทำคะแนนได้ให้อีกฝ่ายหนึ่งมาเริ่มเล่นใหม่โดยการเตะลูกพร้อม (DROP KICK) ที่กึ่งกลางสนามไปให้ถึงเส้น 10 เมตรของฝ่ายที่ทำคะแนนได้
ถ้าฝ่ายเตะลูกเริ่มเล่น เตะลูกเข้าไปในเขตประตูของ ฝ่ายตรงข้าม ผู้เล่นไม่เอาลูกออกมาเล่นแล้วกดลูกในเขตประตูของตนเอง ให้ทำสกรัมที่กึ่งกลางสนาม ฝ่ายตรงข้าม เป็นฝ่ายใส่ลูกเข้าสกรัม

การได้เปรียบ ( Advantage )
กฏของการได้เปรียบจะเป็นส่วนหนึ่งของกติกาการแข่งขัน จุดประสงค์เพื่อให้การเล่นดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และเกมหยุดน้อยที่สุด แม้จะมีการละเมิด หรือกระทำผิดกติกา ถ้าทีมที่ไม่ได้กระทำผิดได้เปรียบผู้ตัดสินจะไม่เป่าหรือหยุดการเล่น
การได้เปรียบในการปฏิบัติ
ก. ผู้ตัดสินจะเป็นผู้ตัดสินว่าทีมได้เปรียบการเล่นหรือไม่ผู้ตัดสินต้องมีความรอบคอบเมื่อมีการตัดสินใจ
ข.การได้เปรียบในด้านเทคนิค หรือการได้เปรียบโอกาสในการเล่น
ค.การได้เปรียบแดน หมายถึง การได้พื้นที่
ง.การได้เปรียบเทคนิคการเล่น หมายถึง อิสระจากฝ่ายตรงข้ามในการเล่นลูกตามที่เขาต้องการที่จะให้การได้เปรียบเกิดขึ้น
เมื่อการได้เปรียบไม่เกิดขึ้น การได้เปรียบจะต้องชัดเจนและเป็นจริง ถ้าทีมที่ได้เปรียบแต่ไม่ได้เปรียบผู้ตัดสินจะเป่านกหวีดหยุดเกม และกลับมาเล่น ณ. จุดที่มีการกระทำผิด หรือละเมิดกติกา การได้เปรียบไม่ได้ถูกนำมาใช้เมื่อ
ก.โดนตัวผู้ตัดสิน การได้เปรียบจะไม่เกิดเมื่อลูกหรือผู้เล่นที่ถือลูกไปกระทบหรือโดนตัวผู้ตัดสิน
ข.ลูกออกจากช่องกึ่งกลางสกรัม
ค.สกรัมหมุน มากกว่า 90 องศา
ง.สกรัมแตก หรือยุบ ผู้ตัดสินต้องเป่านกหวีดทันที
จ.ผู้เล่นถูกดันยกขึ้นในการทำสกรัม ผู้ตัดสินต้องเป่านกหวีดทันที
เป่านกหวีดทันทีเมื่อไม่มีการได้เปรียบเกิดขึ้น
การละเมิดกติกามากกว่า 1 ครั้ง
ก.ถ้ามีการละเมิดกติกามากกว่า 1 ครั้ง โดยทีมเดิมผู้ตัดสินจะใช้กฏการได้เปรียบ
ข.ถ้าการได้เปรียบจากการละเมิดกติกาของทีมหนึ่งแล้วอีกทีมหนึ่งเกิดกระทำผิดตามมาผู้ตัดสินจะเป่านกหวีดทันทีและใช้การกระทำผิดอันแรก

การได้คะแนน ( Method Of Scoring )
วางทรัยได้ 5 คะแนน เตะลูกเข้าประตูหลังจากวางทรัยแล้วได้อีก 2 คะแนน เรียกว่าได้ 1 ประตู
เตะลูกโทษ(PENETAL KICK)เข้าประตูได้ 3 คะแนน
เตะลูกพร้อม (DROP KICK) เข้าประตูได้ 3 คะแนน
(แต่การเตะลูกพร้อมจากลูกเตะกินเปล่า (FREE KICK) แม้จะเตะเข้าประตูก็ไม่ได้คะแนน)

ประวัติฟุตบอลไทย















ประวัติและวิวัฒนาการของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูประถัมภ์

--------------------------------------------------------------------------------

กีฬาฟุตบอลในประเทศไทย ได้มีการเล่นตั้งแตสมัย"พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"รัชกาลที่5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องจากสมัยรัชกาลที่5 พระองค์ทรงส่งพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าพระหลานยาเธอ และข้าราชบริพารไปศกษาวิชาการต่างๆ ที่ประเทศอังกฤษและผู้นำกีฬาฟุตบอลกลับมายังประเทศไทยเป็นคนแรกคือ "เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)"หรือที่ประชาชนเรียกกันว่า "ครูเทพ" ซึ่งท่านได้แต่งเพลงกราวกีฬาที่พร้อมไปด้วยเรื่องน้ำใจนักกีฬาอย่างแท้จริง ผู้เขียนมีความเชื่อว่าเพลงกราวกีฬาที่ครูเทพแต่งไว้นี้จะต้องเป็น "เพลงอมตะ" และจะต้องคงอยู่คู่ฟ้าไทย เมื่อปี พ.ศ.2454-2458 ท่านได้ดำรงค์ตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการครั้งแรก เมื่อท่านได้นำฟุตบอลเข้าไปเล่นในประเทศไทย ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ มากมายโดยหลายคนกล่าวว่า ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ไม่เหมาะสมกับประเทศที่มีอากาศร้อน เหมาะสมกับประเทศที่มีอากาศหนาวมากกว่า และเป็นเกมที่ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้เล่นและผู้ชมได้ง่าย ซึ่งข้อวิจารณ์ดังกล่าวถ้ามองอย่างผิวเผินอาจคล้อยตามได้ แต่ภายหลังข้อกล่าวหาก็ได้ค่อยหมดไปจนกระทั่งกลายเป็นกีฬายอดนิยมที่สุดของประชาชนชาวไทย และชาวโลกทั่วทุกมุมโลกในปัจจุบัน ซึ่งมีวิวัฒนาการดังต่อไปนี้
พ.ศ.2440 รัชกาลที่5 ได้เสด็จนิวัตรพระนคร กีฬาฟุตบอลได้รับความสนใจจากบรรดาข้าราชการ ครู อาจารย์ตลอดจนชาวอังกฤษในประเทศไทย และผู้สนใจชาวไทยจำนวนมากขึ้นเป็นลำดับกอปรกับครูเทพท่านได้เพียรพยายามปลูกฝังการเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังและแพร่หลายมากในโอกาศต่อมา
พ.ศ.2443 การแข่งขันฟุตบอลเป็นทางการครั้งแรกของประเทศไทย ได้เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2443 ณ สนามหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ออกกำลังกายและประกอบงานพิธีต่างๆ การแข่งขันฟุตบอลคู่ประวัติศาตร์ของไทยระหว่าง "ชุดบางกอก" กับ "ชุดกลมศึกษาธิการ" จากกระทรวงธรรมการ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "การแข่งขันฟุตบอลตามข้อบังคับของแอสโซซิเอชั่น"เพราะสมัยก่อนเรียกว่า "แอสโซซิเอชั่นฟุตบอล" (Associations Football)สมัยปัจจุบันเรียกว่า "การแข่งขันฟุตบอลของสมาคม" หรือ "ฟุตบอลสมาคม" ผลการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษปรากฏว่า 2:2 ต่อมาครูเทพได้วางแผนการจัดการแข่งขันฟุตบอลนักเรียนอย่างเป็นทางการพร้อมแปลงกติกาแบบสากลมาใช้ในการแข่งขันฟุตบอลในครั้งนี้ด้วย
พ.ศ.2444 หนังสือวิทยาจารย์ เล่มที่1ตอนที่7 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2444 ได้ตีพิมพ์เผยแพร่เรื่องกติกาการแข่งขันฟุตบอลสากลและการแข่งขันอย่างเป็นสากล
การแข่งขันฟุตบอลนักเรียนครั้งแรกของประเทศไทย ได้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2444นี้ ผู้เข้าแข่งขันต้องเป็นนักเรียนชาย อายุไม่เกิน20ปี ใช้วิธีการแข่งขันแบบน็อกเอาต์ หรือแบบแพ้คัดออก (Knockout or Eliminations)ภายใต้การดำเนินงานของ "กรมศึกษาธิการ" สำหรับทีมชนะเลิศติดต่อกัน3ปี จะได้รับโล่รางวัลเป็นกรรมสิทธิ์
พ.ศ.2448 เดือนพฤสจิกายน สามัคยาจารย์สมาคมได็เกิดขึ้นครั้งแรกเป็นการแข่งขันฟุตบอลขอบรรดาครูและสมาชิกครู โดยใช้ชื่อว่า "ฟุตบอลสามัคยาจารย์"
พ.ศ.2450-2452 ผู้ตัดสินชาวอังกฤษชื่อ "มร.อี.เอส.สมิธ" อดีนักฟุตบอลอาชีพ ได้มาทำการตัดสินในประเทศไทยเป็นเวลา2ปี ทำให้คนไทยโดยเฉพาะครู อาจารย์ และผู้สนใจ ได้เรียนรู้กติกาและสิ่งใหม่ๆเพิ่มขึ้นมาก
พ.ศ.2451 มีการจัดการแข่งขัน "เตะฟุตบอลไกล" ครั้งแรก
พ.ศ.2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2452 นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของผู้สนับสนุนฟุตบอลไทยในยุคนั้น ซึ่งต่อมาในปีนี้ กรมศึกษาธิการก็ได้ประกาศใช้วิธีการแข่งขัน "แบบพบกันหมด" (Round Robin)แทนวิธีการแข่งขันแบบแพ้คัดออก สำหรับคะแนนที่ใช้นับเป็นแบบของแคนนาดา (Candian System)คือ ชนะ2คะแนน เสมอ1คะแนน แพ้0คะแนน และยังคงใช้อยู้จนถึงปัจจุบัน
พ.ศ.2453 กรมศึกษาธิการได้ปรับปรุงกติกาฟุตบอลให้ทันสมัยยิ่งขึ้น
พ.ศ.2454 กรมการศึกษาธิการได้จัดการแข่งขันฟุตบอล"รุ่นเล็ก"สำหรับนักเรียนอายุไม่เกิน 18 ปี ชิงโล่เงิน"มร. ดับบลิว. ยี. จอห์นสัน" ชาวอังกฤษ วึ่งเป็นที่ปรึกษากระทรวงธรรมการในขณะนั้น และชุดฟุตบอลใดได้ชนะเลิศติดต่อกัน 3 ปีจะได้รับโล่เป็นกรรมสิทธิ์
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงมีความสนพระทัยกีฬาฟุตบอลเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงกีฬาฟุตบอลเอง และทรงตั้งทีมฟุตบอลส่วนพระองค์ ชื่อทีม "เสือป่า" และได้เสด็จพระราชดำเนินประทับทอดพระเนตรการแข่งขันฟุตบอลเป็นพระราชกิจวัตรเสมอมา โดยเฉพาะมวยไทย พระองค์ทรงเคยปลอมพระองค์เป็นสามัญชนขึ้นต่อยมวยไทยจนได้ฉายาว่า "พระเจ้าเสือป่า" พระองค์ท่านทรงพระปรีชาสามารถมากจนเป็นที่ยกย่องของพสกนิกรทั่ไทยจนตราบทุกวันนี้
จากพระราชกิจวัตรของพระองค์รัชกาลที่ 6 ทางด้านฟุตบอล นับได้ว่าเป็นยุคทองของไทยอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีการเผยแพร่ข้าวสาร หนังสือพิมพ์ และบทข่าวต่างๆทางด้านฟุตบอลดังรายละเอียดต่อไปนี้
พ.ศ.2457 "พระยาโอวาทวรกิจ" (แหม ผลพันชิน) หรือนามปากา "ครูทอง" ได้เขียนบทนำข่าวกีฬา "เรื่องจรรยาของผู้เล่นฟุตบบอล" และ "คุณพระวรเวทย์พิสิฐ" (วรเวทย์ ศิวะศริยานนท์) ได้เขียนบทความกีฬา "เรื่องการเล่นฟุตบอล" และ "พระยาพาณิชศาสตร์วิธาน" (อู่ พรรธนแพทย์) ได้เขียนบทความกีฬาที่ประทับใจชาวไทยอย่างยิ่ง "เรื่องอย่าสำหรับนักเลงฟุตบอล"
พ.ศ.2458 ประชาชนชาวไทยสนใจฟุตบอลอย่างกว้างขวาง เนื่องจากกรมศึกษาธิการได้พัฒนาวิธีการเล่น วิธีการจัดแข่งขัน การตัดสิน กติกาฟุตบอลที่สากลยอมรับตลอดจนระเบียบการแข่งขันที่รัดกุมยิ่งขึ้น และผู้ใหญ่ในวงการให้ความสนใจอย่างแท้จริง นับตั้งแต่ องค์รัชกาลที่ 6 ลงมาถึงพระบรมวงศานุวงศ์ จนถึงสามัญชนและชาวต่างชาติ และในปี พ.ศ. 2458จึงได้มีการแข่งขันฟุตบอลประเภทสโมสรครั้งแรก เป็นการชิงถ้วยพระราชทานและเรียกชื่อการแข่งขันฟุตบอลประเภทนี้ว่า "การแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยทองของหลวง" การแข่งขันฟุตบอลสโมสรนี้เป็นการแข่งขันระหว่าง "ทหาร-ตำรวจ-เสือป่า" ซึงผู้เล่นจะต้องมมีอายุเกินเกินกว่าระดับทีมนักเรียนนับว่าเป็นการเพิ่มประเภทการแข่งขันฟุตบอล
ราชกรีฑาสโมสร หรือสปอร์ตคลับ นับได้ว่าเป็นสโมสรแรกของประเทศไทยเป็นศูนย์รวมของชาวต่างประเทศในกรุงเทพฯ ซึ่งยังอยู่ในปัจจุบัน และศูนย์รวมสปอร์ตคลับเป็นศูนย์กลางของกีฬาหลายประเภท โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลได้มีผู้เล่นระดับชาติจากประเทศอังกฤษเข้าร่วมทีมอยู่หลยคน อาทิเช่น มร.เอ.พลี.โคลบี. อาจารย์โรงรียนราชวิทยาลัย นับว่าเป็นทีมที่ดีมีความพร้อมมากทั้งทางด้านผู้เล่นงบประมาฌ และสนามแข่งขันมาตรฐาน จึงต้องเป็นเจ้าภาพให้ทีมต่างๆของไทยเรามาเยือนอยู่เสมอทำให้วงการฟุตบอลไทยในยุคนั้นได้พัฒนายิ่งขึ้น และรัชกาลที่ 6 ทรงสนพระทัยโดยเสด็จมาเป็นองค์ประธานพระราชทานรางวัลเป็นพระราชกิจวัตร ทำให้ประชาชนเรียกการแข่งขันสมัยนั้นว่า "ฟุตบอลหน้าพระที่นั่ง" และระหว่างพักครึ่งเวลามีการแสดง "พวกฟุตบอลตลกหลวง" นับเป็นที่ชื่นชอบของปวงชนชาวไทยสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง และการแข่งขันฟุตบอลสโมสรครั้งแรกนี้ มีทีมสมัครเข้าร่วมแข่งขัน 12 ทีม ใช้เวลาในการแข่งขัน 46 วัน (11 กันยายน-27 ตุลาคม 2458) จำนวน 29 แมตช์ ณ สนามเสือป่า ถนนหน้าพระลานสวนดุสิต กรุงเทพมหานคร หรือสนามหน้ากองอำนวยการรักษาการปลอดภัยแห่งชาติปัจจุบัน พระองค์รัชกาลที่ 6 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขณะกรรมการดำเนินการแข่งขัน นับว่าฟุตบอลไทยมีระบบในการบริหารมานานถึง 77 ปีแล้ว
ความเจริญก้าวหน้าของฟุตบอลภายในประเทศ ได้แผ่ขยายกว้างขว้างทั่วประเทศไปสู่สโมสรกีฬาต่างจังหวัด หรือชนบทอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นที่นิยมกันทั่วไปภายใต้การสนับสนุนของรัชกาลที่ 6 และพระองค์ท่านทรงเล็งเห็นการณ์ไกลว่าควรที่จะตั้งศูนย์กลางหรือสมาคมอย่างมีระบบแผนที่ดีโดยมีคณะกรรมการบริหารสมาคมและทรงมีพระบรมราชโองการก่อตั้ง "สโมสรคณะฟุตบอลสยาม" ขึ้นมาโดยพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ทรงเล่นฟุตบอลเอง
รัชกาลที่ 6ได้ทรงมีวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามดังนี้ คือ
1. เพื่อให้ผู้เล่นฟุตบอลมีพลานามัยที่สมบูรณ์
2. เพื่อให้เกิดความสามัคคี
3. เพื่อให้เกิดไหวพริบ และเป็นนักกีฬาที่ประหยัดดี
4. เพื่อเป็นการศึกษากลยุทธในการรุกและรับเช่นเดียวกับกองทัพทหาร
จากวัตถุประสงค์ดังกล่าว นับเป็นสิ่งที่ผลักดันให้สมาคมฟุตบแลแห่งสยามดำเนินกิจการเจริญก้าวหน้ามาจนตราบถึงทุกวันนี้ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
พ.ศ.2458 การแข่งขันระหว่างชาติครั้งแรกของประเทศไทย เมื่อวันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ.2458 ณ สนามราชกรีฑาสโมสร (สนามม้าปทุมวันปัจจุบัน) ระหว่าง "ทีมชาติสยาม" กับ "ทีมราชกรีฑาสโมสร" ต่อหน้าพระที่นั่ง และมี "มร.ดักลาส โรเบิร์ตสัน" เป็นผู้ตัดสินซึ่งการแข่งขันปรากฏว่า ทีมชาติสยาม ชนะทีมราชกรีฑาสโมสร 2:1ประตูและครั้งที่2 เมื่อวันเสาร์ที่18 ธันวาคม พ.ศ.2458เป็นการแข่งขันระหว่างชาตินัดที่2 แบบเหย้าเยือนต่อหน้าพระที่นั่ง ณ สนามเสือป่าดุสิต และผลปรากฏว่าทีมชาติสยามเสมอกับทีมราชกรีฑาสโมสรหรือทีมรวมต่างชาติ 1:1ประตู
สมาคนฟุตบอลแห่งประเทศไทย (The Football Association of Thailand) ได้วิวัฒนาการตามลำดับต่อไปนี้
พ.ศ.2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามขึ้นเมื่อ วันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2459 และตราข้อบังคับขึ้นใช้ในสมาคมฟุตบอลแห่งสยามด้วยซึ่งมีชื่อว่า ส.ฟ.ท. และเขีนยเป็นภาษาอังกฤษว่า "The Football Association of Thailand Under The Pratonage of His The King" ใช้อักษรย่อว่า F.A.T. และสมาคมฯจัดการแข่งขันถ้วยใหญ่และถ้วยน้อยเป็นครั้งแรกในปีด้วย
พ.ศ.2468 เป็นภาคีสมาชิกสมาพันธ์ฟุตบอลระหว่างชาติ เมื่อ วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2468 ซึ่งมีชื่อย่อว่า ฟีฟ่า และเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า "Faderation Internation De Football Association" ใช้อักษรย่อว่า F.I.F.A.
พ.ศ.2471 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับครั้งที่ 1
พ.ศ.2475-2490 งดการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน เพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
พ.ศ.2477 เริ่มการแข่งขันฟุตบอลประเพณี จุลาลงกรณ์มหาวิทยาลัย-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พ.ศ.2493 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับครั้งที่ 2
พ.ศ.2495 สมาคมฟุตบอลฯได้จัดการแข่งขันฟุตบอลถ้วยน้อยและถ้วยใหญ่
พ.ศ.2499 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับครั้งที่ 3 และเรียกว่าข้อบังคับลักษณะปกครอง
พ.ศ.2499 สมาคมฟุตบอลฯได้สิทธิ์ส่งทีมฟุตบอลชาติไทยเข้าร่วมการแข่งขัน "กีฬาโอลิมปิก" ครั้งที่ 16 นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน เมื่อ วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2499 ณ นครเมลเบอร์น ประเทศออสเตรเลีย
พ.ศ.2500 เป็นภาคีสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย ซึ่งมีชื่อย่อว่า เอ เอฟ ซี และเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า "Asian Football Confederation" ใช้อักษรย่อว่า A.F.C.
พ.ศ.2501 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับลักษณะปกครองครั้งที่ 4
พ.ศ.2503 การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับลักษณะปกครองครั้งที่ 5
พ.ศ.2504-ปัจจุบัน สมาคมฟุตบอลได้จัดแข่งขันฟุตบอลถ้วยน้อยและถ้วยใหญ่ ซึ่งภายหลังได้จัดการแข่งขันแบบเดียวกับสมาคมฟุตบอลอังกฤษ คือ จัดเป็นประเภทถ้วยพระราชทาน ก ข ค และ ง และยังจัดการแข่งขันประเภทอื่นๆอีก เช่น ฟุตบอลนักเรียน ฟุตบอลเตรียมอุดม ฟุตบอลอาชีวะ ฟุตบอลเยาวชนและอนุชน ฟุตบอลอุดมศึกษา ฟุตบอลเอฟ.เอ.คัพ และฟุตบอลควีนส์คัพ ฟุตบอลคิงส์คัพ เป็นต้น ฯลฯ นอกจากนี้ ยังได้จัดการแข่งขันและส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันกับทีมนานาชาติมากมายจนถึงปัจจุบัน